เริ่มต้นธุรกิจค้าส่ง ทำอย่างไร? มือใหม่ต้องรู้!



หากเอ่ยถึง ยี่ปั๊ว หลายคนนึกภาพถึงร้านค้าดั้งเดิมที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางกระจายสินค้าจากผู้ผลิต ไปสู่ร้านค้าปลีก หรือโชห่วย ซึ่งจะเห็นผู้ประกอบการรูปแบบนี้ได้มากในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยระบบการค้าดังกล่าว จัดเป็นการค้าส่ง (Wholesaling) ซึ่งจะเป็นลักษณะของการขายต่อ หรือเพื่อใช้ในทางธุรกิจ ไม่ได้เป็นการขายสินค้าในปริมาณมากๆ โดยตรงให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย

แม้ปัจจุบันผู้ประกอบการค้าส่ง หรือ ยี่ปั๊ว จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง จากรูปแบบการค้าใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล และคู่แข่งที่เป็นห้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ แต่ในตลาดนี้ยังมีช่องว่างให้ผู้ประกอบการเข้าไปคว้าโอกาสอีกมาก และผู้ประกอบการหลายรายก็ให้ความสนใจที่จะดำเนินธุรกิจดังกล่าว

แต่ก่อนจะลงมือทำนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและทราบถึงขั้นตอนในการดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและการขออนุญาตต่างๆ เพื่อให้การทำธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้อง

มาดูกันว่า ถ้าจะเริ่มดำเนินกิจการค้าส่ง ต้องทำอย่างไรบ้าง?

ศึกษาตลาด-ทำความเข้าใจธุรกิจ
สำหรับผู้ที่สนใจจะดำเนินธุรกิจค้าส่ง ต้องทำการศึกษารูปแบบของธุรกิจและตลาดให้ดี โดยส่วนใหญ่ธุรกิจค้าส่งจะทำในรูปแบบ B2B (Business to Business) ฉะนั้นเรื่องของทำเลที่ตั้ง อาจจะไม่ได้สำคัญมากเท่าธุรกิจค้าปลีก เพราะไม่ได้ขายตรงกับผู้บริโภค สิ่งสำคัญต่อมา คือ การสต็อกสินค้า ที่จะต้องมีให้พียงพอ เพื่อรองรับร้านค้าปลีกต่างๆ แต่ข้อควรระวังคือ ต้องไม่ให้มีสินค้าค้างสต็อกมากเกินไป เพราะอาจจะมีผลต่อเรื่องอายุการใช้งานของผลิตภันฑ์ รวมถึงความล้าสมัยได้ ดังนั้นควรมีการวางแผนบริหารจัดการสินค้าให้เกิดการหมุนเวียนออกไป เพื่อไม่ให้ค้างสต็อกเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงเรื่องของพันธมิตรทางธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจค้าส่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตกับผู้ค้าปลีก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้า ทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การประกอบธุรกิจค้าส่งประสบความสำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น


จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ
เมื่อศึกษารูปแบบธุรกิจและตลาดมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนการเริ่มต้นจัดตั้งธุรกิจ โดยผู้ประกอบการต้องพิจารณาว่าจะจดทะเบียนรูปแบบใด ซึ่งในการจดทะเบียนพาณิชย์ ผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนพาณิชย์ได้ทั้งในลักษณะของบุคคลธรรมดา เจ้าของคนเดียว หรือหลายคนรวมกันในลักษณะของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด โดยจะต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ ภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบการ สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตท้องที่ที่ร้านค้าตั้งอยู่ หากร้านค้าตั้งอยู่ในต่างจังหวัด ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด (คลิก! ดาวน์โหลดเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนพาณิชย์) หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า


ขอใบอนุญาตจำหน่ายสินค้า-นำเข้าสินค้า
ในธุรกิจค้าส่ง หากมีการจำหน่ายสินค้าที่เป็น สุรา ยาสูบ ไพ่ ผู้ประกอบการจะต้องมีการยื่นขอใบอนุญาตจำหน่ายให้ถูกต้องกับกรมสรรพสามิต โดยสามารถติดต่อที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ /พื้นที่สาขา ที่ร้านค้าตั้งอยู่ หรือดำเนินการขอใบอนุญาตผ่านอินเตอร์เน็ตของกรมสรรพสามิต (การขอใบอนุญาตสุรา ยาสูบ ไพ่ ผ่านอินเทอร์เน็ต)

หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ผู้ประกอบการต้องศึกษาระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติ ตลอดจนภาษีศุลกากรที่ต้องชำระที่ทางกรมศุลกากรกำหนดไว้ โดยดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมศุลกากร
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับผู้ประกอบการค้าส่ง เมื่อมีการขายสินค้าเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี จำเป็นต้องมีการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร โดยจะยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ที่ร้านค้าตั้งอยู่ ส่วนผู้ที่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ สามารถยื่นได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขาที่ร้านค้าตั้งอยู่ หรือจะยื่นแบบคำขอผ่านทางอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร ก็ได้เช่นกัน โดยจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน (เอกสารใช้สำหรับจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมสรรพากร

จัดการภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการยื่นจดทะเบียนแล้ว ยังมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจค้าส่งที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น ภาษีตามประเภทการจดทะเบียน ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราภาษีก้าวหน้า) สำหรับธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว หรือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล (อัตราคงที่) สำหรับธุรกิจในรูปแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด นอกจากนี้ ยังมีภาษีป้าย ที่ผู้ประกอบการจะต้องขออนุญาตกับสำนักงานเขต เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ร้านค้าตั้งอยู่ โดยจะต้องชำระภาษีป้ายเป็นประจำทุกปีภายในเดือนมีนาคม


ขึ้นทะเบียนนายจ้าง-ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน
สุดท้ายที่ลืมไม่ได้ และเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการห้ามละเลยโดยเด็ดขาด นั่นคือ การขึ้นทะเบียนนายจ้าง โดยตามกฎหมายแล้ว นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง (ดาวน์โหลดแบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง สปส.1-01) พร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้าง (ดาวน์โหลดแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน สปส.1-03) เป็นผู้ประกันตน ภายใน 30 วัน และเมื่อมีการรับลูกจ้างใหม่เพิ่มขึ้นต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่ภายใน 30 วันเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารได้ที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา

เชื่อว่า ข้อมูลเหล่านี้พอจะเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการมือใหม่ที่กำลังคิดอยากจะก้าวสู่ธุรกิจค้าส่ง นำไปใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจได้ เพราะเริ่มต้นดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง


ที่มา https://www.tasme.or.th/article/4413/

บทความที่เกี่ยวข้อง
โรงงาน 4.0 Smart Factory คืออะไร?
เราเคยได้ยินคำว่าไทยแลนด์ 4.0 กันมาตลอดทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต แต่คุณรู้ไหมว่าระบบโรงงานเองก็มีคำว่า “โรงงาน 4.0” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน แต่โรงงาน 4.0 หรือ Smart Factory คืออะไร? ประเทศไทยของเราก้าวไปถึงยุค 4.0 ในวงการอุตสาหกรรมหรือยัง วันนี้เราจะมาติดตามไปพร้อมกันค่ะ
วิกฤติการเงินสู่ปัญหาทางธุรกิจ
1. ใช้จ่ายอะไร จดไว้ให้หมด ในช่วงที่รายรับเท่าเดิม แต่รายจ่ายมากขึ้นเช่นนี้ จำเป็นต้องรัดกุมกับเงินทุกบาท ทุกสตางค์ ค่าใช้จ่ายที่มีในแต่ละเดือน ต้องใช้อะไร ซื้ออะไรควรจดไว้ เพื่อเตือนความจำและการใช้เงินอย่างมีสตินั่นเองค่ะ 2. ช่างสังเกต เปรียบเทียบสินค้า เช็กราคาเซลอยู่เสมอ เช่น การเปรียบเทียบสินค้า 1 สิ่ง ระหว่างซื้อเองที่ร้าน หรือ สั่งซื้อทางออนไลน์ แบบไหนคุ้มค่ากว่า โดยคำนวณจาก ค่าเดินทาง ค่าจัดส่ง แล้วเปรียบเทียบดูนั่นเองค่ะ 3. Second Job เพิ่มรายได้ หากรายได้ทางเดียวไม่เพียงพอ การหารายได้เสริมเพื่อเพิ่มรายรับ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้วิกฤติทางการเงินได้เช่นค่ะ แต่จะต้องทำไม่ให้กระทบกับงานหลักด้วยนะคะ 4. ค้นหาช่องทางการลงทุนใหม่ ๆ เช่น หุ้น กองทุนใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ที่พอจะมีแนวโน้มในการเติบโตในอนาคต ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนกลับมาได้ด้วยค่ะ 5. ลดรายจ่ายไม่จำเป็น ทั้งค่าเสื้อผ้า ค่ากาแฟ ค่าความบันเทิง ที่เกินกว่ารายรับ และเกินความจำเป็น ควรลดลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แก้ปัญหาวิกฤติเดือนชนเดือน การเอาตัวรอดวิกฤติทางการเงินแม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าหากมีวินัย และทำอย่างสม่ำเสมอ ท่านก็จะรอดพ้นวิกฤติได้ไม่ยากค่ะ
ทำอย่างไร? ขอสินเชื่อให้ผ่านง่าย ๆ
แม้ว่าการเป็นหนี้จะไม่ใช่สถานะที่หลายคนอยากจะเป็นนัก แต่บางครั้งความจำเป็นก็ทำให้เราต้องเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการเริ่มต้นธุรกิจ มีรายได้ที่ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy